ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ มุ่งประโยชน์ส่วนรวม มีเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นข้าราชการ ไม่ใช้หน้าที่และอำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง

“สตรีและครอบครัวมั่นคง สังคมเสมอภาค”

😀 อ่านไป รักไป เข้าใจไป ..

1 ธ.ค. 2568

44 view

ปาริฉัตร บุตร์ตรี

😀 บางคนอ่านนิยายวายแล้วอินจนปลื้มปริ่มน้ำตาซึม ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน
บางคนอ่านนิยายหญิงรักหญิงแล้วหัวใจเต้นแรง ทั้งที่ในชีวิตจริงๆก็มีแฟนเป็นผู้ชาย
นักอ่านหลายคนอ่าน BL/GL จนเปลี่ยนจาก “คนที่ไม่เข้าใจ” มาเป็น “คนที่สนับสนุน“
---------------------------------------------
อ่านไป รักไป เข้าใจไป
วรรณกรรม BL/GL กับการปรับทัศนคติในสมอง
(Neuroscience of BL/GL to The social movement)
0
Homosexual story
For heterosexual reader
บางคนอ่านนิยายวายแล้วอินจนปลื้มปริ่มน้ำตาซึม ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน บางคนอ่านนิยายหญิงรักหญิงแล้วหัวใจเต้นแรง ทั้งที่ในชีวิตจริงๆก็มีแฟนเป็นผู้ชาย นักอ่านหลายคนอ่าน BL/GL จนเปลี่ยนจาก “คนที่ไม่เข้าใจ” มาเป็น “คนที่สนับสนุน“
ไม่เคยสงสัยบ้างเลยเหรอครับ?
คือสาววายที่ชอบอ่านนิยายวาย ในชีวิตจริงๆ เขาก็เป็นสาว heterosexual (รักต่างเพศ) แบบเดียวผู้หญิงคนอื่นๆที่ไม่ได้เป็นสาววายนั่นแหละครับ
แต่ทำไมเขามีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อการเห็นผู้ชายด้วยกัน ผู้หญิงด้วยรักกันได้? ทำไมเขาอ่านนิยายวาย นิยายยูริแล้วมีความสุข ทั้งๆที่มันขัดกับวิถีปฏิบัติจริงของเขา
คืออาจจะดูเป็นคำถามที่ตลกนะครับ
แต่สำหรับผมที่เป็นทั้งหมอโรคสมอง และนักเขียน
ผมทึ่งกับเรื่องนี้มากเลยครับ
ผมมีโอกาสได้คุยกับนักเขียนรุ่นโบราณที่เป็นมนุษย์ heterosexual หลายๆคน และก็เป็นนักเขียนระดับรางวัลหลายคนด้วยนะครับ หลายๆคนเหล่านั้นบอกว่า ก็อ่านแบบแตะๆ ไม่ได้รู้สึกอินอะไร แล้วก็รู้สึกแปลกๆด้วย แม้ว่าตัวละครจะรักกัน แต่เขากลับไม่รู้สึกถึง “ความรักในเรื่อง”
แต่ขณะเดียวกัน เรื่องเดียวกัน เมื่อยื่นให้สาววาย (ที่ก็เป็นมนุษย์ heterosexual เหมือนนักเขียนรุ่นโบราณ) อ่าน พวกเธอกลับบอกว่าเรื่องนี้มันเต็มไปด้วยความรักและน่าซาบซึ้งมาก
ผมถามจริง ปฏิกิริยาความแตกต่างนี้มันไม่น่าสงสัยเหรอครับ? คือถ้ามองแค่ผิวเผิน อาจดูเป็นเรื่องของรสนิยมว่ารสนิยมไม่ตรงกัน ก็เลยไม่รู้สึก แต่มันแค่ระดับรสนิยมจริงเหรอครับ?
อย่างที่บอกครับว่าผมเคยคุยกับนักเขียนรุ่นโบราณทุกคนก็มองว่า BL GL เป็นเทรนด์มาตามสมัย (และแฝงความนัยว่าก็อาจจะหายไปตามสมัยเช่นกัน) และทุกคนมองว่ามันเป็นรสนิยม
คำถามคือว่า ถ้ามันไม่ใช่แค่รสนิยม ถ้ามันไม่ใช่ความชอบล่ะ แล้วถ้ามันคือปรากฏการณ์ของสมอง ในการจำลองประสบการณ์ทางอารมณ์ล่ะ?
เป็นไปได้ไหมว่า วรรณกรรม BL GL จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เปลี่ยนโครงข่ายในสมอง และทัศนคติที่ฝังลึกมาแต่เดิมให้ไปสู่การเข้าใจมนุษย์ลึกขึ้นกว่าการมองและแบ่งคนตาม “เพศ”
1
จากเรื่องเล่า สู่เรื่องของเรา
หนึ่งในกลไกสำคัญที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ คือสิ่งที่เรียกว่า narrative transportation คือการที่ผู้อ่าน “หลุดเข้าไปอยู่ในเรื่อง” จนลืมว่าตัวเองเป็นใคร เหลือเพียงแค่ตัวละครในหน้ากระดาษ
จากงานวิจัยของ Diana Tamir พบว่าเมื่ออ่านเรื่องราวที่ยาวระดับหนึ่ง และมีการนำเสนอตัวเอกว่าใครเป็นคนดำเนินเรื่อง จะกระตุ้นโครงข่าย Default Mode Network (DMN) ในสมอง ซึ่ง DMN ที่จริงมันคือสมองส่วนที่เกี่ยวกับการคิดถึงตัวเราเอง ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจจุดที่หนึ่งว่า เมื่ออ่านเรื่องราว ตัวเราจะถูกส่งผ่านเข้าไปอยู่ในเรื่องราวด้วย
และจากงานของ Nicole Speer et al. (2009) ที่ทำการวิจัยโดยใช้เครื่อง fMRI แสกนสมองตนให้อาสาสมัครอ่านเรื่องราว เขาพบว่า เวลาอ่านนิยาย สมองของเราจะตอบสนองเสมือนว่าเรากำลัง “ลงมือทำ” และ “รู้สึก” ในสิ่งที่ตัวละครทำ ไม่ใช่แค่เข้าใจผ่านตัวหนังสือ
นี่คือกลไกทั่วไปในสมองคนอ่าน เวลาที่เราอ่านนิยายสักเรื่องครับ มันคือการสื่อสารแบบสร้างประสบการณ์จำลองในสมองคนอ่าน จึงทำให้ story สามารถเป็นสื่อในการทำความเข้าใจนามธรรมยากๆได้ดีกว่าแค่คำพูด
และนามธรรมที่เรียกว่า “ความรัก” ก็เช่นกันครับ
2
อ่านจนเข้าใจมนุษย์ ก่อนเพศ
สิ่งที่น่าทึ่งคือ ผู้อ่าน heterosexual ส่วนมากที่ชื่นชอบ BL หรือ GL ไม่ได้มีแรงจูงใจทางเพศ แต่มีแรงดึงดูดจาก “เรื่องราวความรักของมนุษย์”
เมื่อพวกเขาอินและผูกพันกับตัวละคร สมองจะค่อยๆ ละลาย stereotype ที่เคยฝังแน่นว่า “คนรักเพศเดียวกันไม่เหมือนเรา” กลไกนี้มีชื่อเรียกในเชิงจิตวิทยาว่า parasocial empathy คือความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่เรารู้จักผ่านสื่อ แม้ไม่เคยเจอตัวจริง และปรากฏการณ์นี้มันไม่ใช่ empathy ลอยๆครับ
จากงานวิจัยของ Oliver et al. (2012) นักวิจัยให้กลุ่มตัวอย่างอ่านข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มที่ถูกตีตราทางสังคม เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV, LGBTQ+, และคนไร้บ้าน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกอ่านในรูปแบบ “expository format” คือเป็นบทความที่มีแต่ข้อมูล สถิติ ข้อเท็จจริง และวิเคราะห์
กลุ่มที่สองอ่านในรูปแบบ “narrative format” คือเป็นการถ่ายทอดเรื่องเล่าผ่านประสบการณ์ของบุคคลจริง
หลังจากนั้น ทั้งสองกลุ่มถูกวัดผลด้วยแบบสอบถามจิตวิทยาที่ประเมิน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ (empathic concern), ความอบอุ่นทางอารมณ์ต่อกลุ่มเป้าหมาย, ระดับอคติทางสังคมที่มีอยู่, และความตั้งใจที่จะสนับสนุนกลุ่มนั้นในอนาคต
ผลลัพธ์ออกมาว่า กลุ่มที่อ่าน “เรื่องเล่า” มีระดับ empathy สูงขึ้น มีอคติต่ำลง และมีแนวโน้มสนับสนุนมากขึ้น
แม้จะไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเลยก็ตาม
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า การเล่าเรื่องสามารถละลายอคติได้จริง
แต่คำถามที่ยังคาใจนักวิจัยก็คือ สิ่งที่เห็นนี้ เป็นแค่ผลชั่วคราวตอนตอบแบบสอบถามหรือเปล่า? หรือมันเกิด “การเปลี่ยนแปลงในสมอง” จริง?
3
ความเข้าใจที่เกิดในสมองจริงๆ
งานของ Tamir, Zak และ Speer ที่มาปิดช่องว่างด้วยสมอง
งานวิจัยของ Oliver ทำให้เรารู้ว่าการนำเสนอเรื่องราว ที่ไม่ใช่แค่นำเสนอข้อมูล ทำให้คนรับสารรู้สึก empathy สูงขึ้น มีอคติต่อคนที่อัตลักษณ์ไม่ตรงกับพวกเขา และมีแนวโน้มสนับสนุนเพิ่มขึ้น แต่งานวิจัยนั้นก็ยังเป็นการวิจัยเชิง consciousness คือให้อาสาสมัครตอบแบบสอบถาม ซึ่งก็อาจจะมองได้ว่าเป็นคำตอบที่อาจะไม่ตรงตามที่คิดจริงๆก็ได้
ตรงนี้นี่ล่ะครับงานวิจัยสามฉบับจากนักประสาทวิทยา เข้ามา “เติมเต็ม” และ ปิดช่องว่างทางหลักฐาน ว่า มันไม่ใช่แค่จินตนาการหรือคำตอบชั่ววูบตอนทำแบบสอบถาม
I. Nicole Speer et al. (2009)
ทีมวิจัยของเธอให้อาสาสมัครอ่าน “เรื่องราว” ในระหว่างที่แสกนสมองด้วยเครื่อง fMRI แล้วพบว่า ระหว่างที่อ่าน “เรื่องราว” มันมีการกระตุ้นสมองในบริเวณ motor cortex, visual cortex, และ emotional areas เสมือนว่าเรากำลัง “ใช้ชีวิตจริงๆ” ในสถานการณ์ของตัวละคร
คือไม่ได้แค่ “รู้สึก” แต่สมอง จำลองการใช้ชีวิตนั้นจริงๆ
II. Paul J. Zak (2011–2015)
ทีมวิจัยทดลองให้อาสาสมัครสองกลุ่มดูวีดีโอคนละชุด กลุ่มแรกเป็นเรื่องราวเรื่อยๆเน้นข้อมูล แต่อีกกลุ่มดูวีดีโอที่เป็นคุณพ่อมาเล่าชีวิตดราม่าที่ลูกชายเป็นโรคมะเร็งในสมอง และเจาะเลือดวัดระดับ oxytocin เอามาเทียบกัน
ทีมวิจัยพบว่าเรื่องเล่าที่กระตุ้นอารมณ์ดราม่า ทำให้สมองหลั่ง oxytocin ซึ่งมีผลต่อการสร้างความไว้วางใจ (trust) และการเชื่อมโยงทางอารมณ์ (empathic bonding) ดังนั้นเมื่อเราอินกับตัวละคร LGBTQ+ สมองจะเปิดรับและรู้สึกผูกพันโดยตรง ไม่ใช่แค่คิดว่าเห็นใจ
III. Diana Tamir & Jason Mitchell (2013)
ทำการวิจัยโดยการให้อาสาสมัครอ่าน “เรื่องราว” ในระหว่างที่สแกนสมองด้วยเครื่อง fMRI แล้วพบว่าการอ่านเรื่องแต่ง (fiction) โดยเฉพาะที่เน้นมุมมองตัวละคร (POV1) ช่วยกระตุ้นบริเวณ mPFC, TPJ, และ PCC ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Theory of Mind หรือความสามารถในการเข้าใจความคิดและความรู้สึกของผู้อื่น
การอ่านนิยาย BL/GL ที่ให้เข้าไปอยู่ในหัวใจของตัวละครเพศเดียวกัน จึงเป็นการฝึกความเข้าใจแบบลึกระดับโครงสร้างสมอง ประมาณว่าใจเขาใจเรานั่นล่ะครับ
4
เราเปิดใจคนได้ด้วย story
แม้งานของ Oliver จะวัดผลผ่านแบบสอบถามจิตวิทยา แต่งานของ Tamir, Zak และ Speer แสดงให้เห็นว่า การเปิดใจ ไม่ได้อยู่แค่ในแบบสอบถาม แต่มันเกิดขึ้นจริงในระดับ neurophysiology
เมื่อเรื่องเล่าทำให้เราร้องไห้ ฟิน เจ็บ หรือหวั่นไหว มันไม่ใช่ “คิดไปเอง” แต่มันคือการที่สมองกำลังถูก rewrite แบบนุ่มนวล
และนั่นอธิบายได้ว่าทำไมคนจำนวนมากที่อ่าน BL หรือ GL ทั้งที่ไม่ใช่ LGBTQ+ กลับกลายเป็นคนที่เข้าใจ และยืนเคียงข้างความหลากหลายทางเพศได้อย่างมั่นคง
ทุกอย่างล้วนเริ่มต้นจากการลองอ่านเล่มแรกดูทั้งนั้นครับ ผมมีโอกาสได้คุยกับสาววายทุกครั้งที่ไปงานหนังสือและพบว่าทุกคนไม่เคยมีใครชอบอ่าน BL GL มาตั้งแต่แรก แต่เพื่อนชวนบ้าง ป้ายยาบ้าง เห็นรีวิวบ้าง แล้วลองเปิดใจอ่านตาม สุดท้ายก็กลายมาเป็นผู้สนับสนุนวงการ BL GL
และต่อเมื่อผมถามว่า แล้วความรักของ LGBTQ+ ล่ะเขามองว่าอย่างไร มุมมองต่างไปไหม? แทบทุกคำตอบก็คือ จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อก่อนรู้สึกอย่างไร แต่ตอนนี้ “สนับสนุนให้คนรักกันโดยไม่ต้องสนใจว่าเพศอะไร”
.…
5
เขียนใหม่ในสมอง เขียนใหม่ในสังคม
การอ่าน BL/GL โดยคนที่ไม่ใช่ LGBTQ+ จึงไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่มันคือกระบวนการ rewiring การเชื่อมต่อใหม่ในสมองผ่าน story simulation
การที่ใครคนหนึ่ง “ไม่เข้าใจ” กลายเป็น “เข้าใจ” ไม่ได้เกิดจากการบรรยายสถิติเพศวิถี, อธิบายสิทธิมนุษยชน, หรือการฟังเลกเชอร์เรื่องความเข้าใจในเพศวิถี หรือการเข้าร่วมรณรงค์ใดๆหรอกครับ
แต่มาจากการที่เขา “รู้สึกรัก” ไปกับตัวละครนั้น
และนั่นคือพลังที่เปลี่ยนโลกได้จริง
แบบไม่ใช่แค่ในนามธรรม
แต่ผมหมายถึงในระดับสมองจริงๆครับ
6
อ่านไป รักไป เข้าใจไป
โลกยังต้องการกฎหมายที่เท่าเทียม การศึกษาแบบเปิดกว้าง และการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่โลกก็ยังต้องการ “เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอด” ที่ทำให้คนเปิดใจ ด้วยหัวใจ เปิดทัศนคติ ด้วยการเปิดการทำงานของสมอง
และในบางครั้ง นิยาย BL GL ที่คุณเขียน อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้ใครสักคนเปลี่ยนมุมมอง จากการตั้งคำถามว่า “ทำไมเขาถึงรักกัน” มาเป็นการรู้สึกว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ว่ารักมันเป็นยังไง”
และเพราะมันเป็นเครื่องมือที่เล่นกับระบบสมอง แน่นอนครับ มันก็มีสมองที่เครื่องมือทำงานด้วยได้ผล และสมองที่เครื่องมือทำงานด้วยไม่ได้ผล มันขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานที่ฝังอยู่ในสมองเยอะครับ แต่จากงานวิจัยข้างบนก็รู้แล้วว่า มนุษย์ที่มี neocortex (สมองที่พัฒนาแล้ว) มีกลไกให้เปิดทัศนคติเสมอ
คำถามคือว่า แล้วคนที่ไม่เปิดทัศนคติล่ะ ?
คือคนที่กลไกการล็อกมันแน่นหนา
หรือว่า neocortex ทำงานไม่ดี?
อ้างอิง
-Green, M. C., & Brock, T. C. (2000). The role of transportation in the persuasiveness of public narratives. Journal of Personality and Social Psychology, 79(5), 701–721.
-Oliver, M. B., Dillard, J. P., Bae, K., & Tamul, D. J. (2012). The Effect of Narrative News Format on Empathy for Stigmatized Groups. Journalism & Mass Communication Quarterly, 89(2), 205–224.
-Speer, N. K., Reynolds, J. R., Swallow, K. M., & Zacks, J. M. (2009). Reading stories activates neural representations of visual and motor experiences. Psychological Science, 20(😎, 989–999.
-Tamir, D. I., & Mitchell, J. P. (2012). Disclosing information about the self is intrinsically rewarding. PNAS, 109(21), 8038–8043.
-Zak, P. J. (2015). Why inspiring stories make us react: The neuroscience of narrative. Cerebrum, 2015.
เรื่อง : หมอแพท - แพทย์อุเทน บุญอรณะ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
ภาพประกอบ : ปิยวรรณ ทิวไผ่งาม

ประชาสัมพันธ์ อื่นๆ

Share

icon